Mythology ของชาวคริสต์ (Christian)
Mythology ของชาวคริสต์ (Christian)
ความเป็นมาของคริสต์ศาสนา
ศาสนาคริสต์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและต่อเนื่องจากศาสนายูดาห์ (Judaism คือศาสนาของชาวยิว) แต่ชาวยิวส่วนใหญ่ต่อต้านผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากไม่เชื่อว่า พระเยซู (Jesus Christ ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์) คือ พระเมสสิยาห์ (Messiah พระผู้ไถ่และกอบกู้ชนชาติยิวตามคำทำนายของศาสนายูดาห์) และชาวยิวไม่ยอมรับพวกต่างชาติ (Gentiles คือ ชาวต่างชาติและผู้ที่ไม่ได้มีเชื้อสายยิว) จะได้รับร่วมการไถ่กู้เข้าร่วมศาสนาของชาวยิวด้วย
ไม่มีใครทราบว่าศาสนาคริสต์เริ่มต้นในโรมตั้งแต่เมื่อใด เมื่อนักบุญเปาโล (Paolo ในภาษาอังกฤษจะเป็น Paul) เดินทางมาถึงกรุงโรม คริสต์ศาสนาก็เป็นที่รู้จักในเมืองแล้ว แต่หลังจากนั้นพวกคริสเตียนก็ถูกจักรพรรดิเนโร (Nero ผู้เผากรุงโรม) กล่าวหาและเป็นแพะรับบาปว่าเป็นผู้วางเพลิงเผากรุงโรม
การที่จักรวรรดิต่อต้านศาสนาคริสต์มีเหตุผลหลายประการคือ
1. แม้ว่าชาวโรมันทุกคนจะมีสิทธิ์ในการนับถือศาสนาแต่ศาสนาของรัฐนั้นเกี่ยวข้องกับการเมือง
ก่อนหน้าศาสนาคริสต์ ศาสนาโบราณอย่างการนับถือเทพเจ้าต่างๆ เช่น เทวีไอซิสของอียิปต์ (Isis) ก็เคยถูกขับไล่มาก่อน แต่เทพเจ้าเหล่านั้นไม่มีตัวตนไม่ช้าก็ถูกลืมหายไป ซึ่งแตกต่างจากพระเยซูของชาวคริสต์ที่ปรากฏเป็นบุคคลแสดงตัวตนต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก ยิ่งช่วงปลายศตวรรษที่ 1 ศาสนาคริสต์แพร่หลายไปทั่วอาณาจักรทุกชนชั้นไม่แค่เฉพาะคนจน ทำให้เกิดความยากลำบากในการควบคุมประชาชน ท่าทีของโรมกับศาสนาคริสต์ในช่วงนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามผู้ที่ขึ้นมามีอำนาจซึ่งมีทั้งนิ่งเฉยในการเผยแพร่ความเชื่อกับเห็นว่าความเชื่อนี้เป็นภัยต้องกวาดล้างชาวคริสต์ทิ้ง
ชาวคริสต์ที่ถูกฆ่าจะถูกเรียกว่า มรณะสักขี (Martyrs)
การฆ่าชาวคริสต์นั้นเพื่อปราบปรามให้เกิดความสงบในหมู่ประชาชน โดยยกอ้างเหตุผลว่า พระเยซูซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนานี้เป็นผู้กระทำผิดและถูกประหารในฐานะผู้ก่อกวนทางการเมือง ฉะนั้น ผู้ที่นับถือพระเยซูก็จะต้องเป็นผู้ต้องโทษด้วย ชาวคริสต์ในยุคแรกจึงไม่กล้าใช้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ แต่ใช้ภาพแทนพระเยซูในรูปของสุริยเทพ (Sun-God) ชุมพาบาล (ผู้เลี้ยงแกะ The Good Shepherd) หรือ พระบุตรกับพระมารดา
2. พวกโรมันไม่ชอบการที่ชาวคริสต์ไม่เคารพบูชาจักรพรรดิซีซาร์ในฐานะสมมติเทพ (God-King) การนับถือพระราชาประหนึ่งเทพเจ้านั้นมีมาแต่ครั้งโบราณในความเชื่อแถบนั้น เช่น ฟาโรห์ก็ถูกยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าในอียิปต์ แม้แต่อเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander) กษัตริย์กรีกที่เข้ายึดอียิปต์ก็ถูกยกกลายเป็นเทพเจ้าไปด้วย กรณีจูเลียสซีซาร์นั้นได้รับการสถาปนาให้เป็นเทพหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ชาวคริสต์จะไม่นับถือเทพเจ้าอื่นจะเชื่อและนับถือพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ความแตกต่างข้อนี้ทำให้เกิดการขัดแย้งกันระหว่างชาวคริสต์กับพวกนอกศาสนา (pagan พวกที่ไม่ใช่คริสเตียน)
3. วิธีบูชาพระเจ้าของชาวคริสต์ซึ่งทำกันในบ้านเป็นแห่งแรก ต่อมาจึงทำในโบสถ์ซึ่งดัดแปลงมาจากบ้าน ทำให้พวกโรมันไม่ชอบและสร้างข่าวลือว่าชาวคริสต์คบคิดวางแผนกบฏบ้าง กินคนบ้าง (ความเข้าใจผิดจากบทมิสซา “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา” “ท่านทุกคนจงรับไปดื่มเถิดนี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งหลั่งรินเพื่ออภัยโทษบาปแก่คนเป็นอันมาก" มัทธิว 26:26-29) ทำความผิดทางเพศบ้างเพราะชาวคริสต์จะเรียกกันเองว่า brother หรือ sister และชาวคริสต์ก็ไม่ยอมโอนอ่อนให้ไม่ทำตามความประพฤตินอกรีตนอกรอยของพวกโรมันจึงถูกเกลียดชัง
ศาสนาคริสต์แข็งแกร่งขึ้นทุกที ในที่สุดก็มีคัมภีร์เป็นของตนเองคือพระคัมภีร์ใหม่ (New Testament) ชาวคริสต์ก็เริ่มมีบทบาททางการเมือง มีสิทธิ์มีเสียง ช่วงศตวรรษที่ 13 ศาสนาของโรมันเปลี่ยนเป็นนับถือสุริยเทพ (The Sun) องค์เดียว และเป็นการนับถือแบบ monotheism แต่อำนาจของโรมกลับเสื่อมลงจึงเกิดการกล่าวโทษว่าเป็นเพราะชาวคริสต์และจะต้องกำจัดทิ้ง
แต่ในคริสต์ศักราชปีที่ 313 จักรพรรดิคอนสแตนตินของโรมกลับเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์และได้ตรา Edict of Milan ขึ้น ให้เสรีภาพแก่คริสต์ศาสนาซึ่งในที่สุดก็ได้กลายเป็นศาสนาประจำอาณาจักรโรมัน แต่ Paganism (พวกนอกศาสนา, พวกนอกรีต, ลัทธิของพวกที่ไม่ใช่คริสเตียน, ผู้ซึ่งไม่ยอมรับ พระยาเวห์ พระคริสต์ อัลลอฮ์) ก็ยังไม่ได้หายไปจากโรมัน ยังมีการฉลอง The Great Mother อยู่ จนถึงปี 392 จักรพรรดิธีโอโดซุสจึงตรากฎห้ามการนับถือลัทธินี้ซึ่งเท่ากับเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการนับถือศาสนา
Myths ในพระคัมภีร์
หัวใจของศาสนาคริสต์นั้นไม่ได้อยู่ที่พระคัมภีร์แต่อยู่ที่ความเชื่อในพระธรรมล้ำลึก "พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ พระคริสต์ได้กลับคืนชีพและพระคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง"
ซึ่งเกิดจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่เริ่มต้นในรัชสมัยของจักรพรรดิไทบีเรียส- ซีซาร์ โดยมีป็อนติอุส ปีลาตุส (พอนทิอัส ปีลาต Pontius Pilate) เป็นข้าหลวงแคว้นเล็กๆ คือแคว้นจูเดีย (Judaea) ได้ตัดสินให้พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธได้ถูกตรึงกางเขนนอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม ตามมาด้วยการฟื้นคืนชีพของพระเยซู และการเสด็จมาของพระจิต (Holy Spirit) ทั้งหมดได้กลายเป็นต้นกำเนิดการฉลองปัสกา (Pesach ในภาษาอังกฤษคือ Passover หรือ Easter) ของชาวคริสต์
พระคัมภีร์ (Bible) ที่ชาวคริสต์ใช้จะแบ่งเป็น 2 ภาค คือ พระคัมภีร์เก่า (Old Testament) และ พระคัมภีร์ใหม่ (New Testament) ในแต่ละภาคจะแบ่งเป็นบทย่อยๆ ตามเหตุการณ์ วัตถุประสงค์ ประกาศก และอัครสาวก พระคัมภีร์เก่าจะกล่าวถึงการสร้างโลก กำเนิดมนุษย์ ประวัติความเป็นมาของชนชาติอิสราเอล (ฮิบรู, ยิว) พระคัมภีร์ใหม่จะกล่าวถึงการเกิดพระเยซูซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คำสอนของพระเยซู และกิจการของเหล่าอัครสาวก
ความเชื่อของชาวคริสต์จะขัดแย้งกับการวิเคราะห์ทางวรรณกรรมว่าบทปฐมกาล (Genesis) เป็นแค่ตำนาน (Myths) มากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพราะหากไม่เชื่อบทปฐมกาลแล้วพระคัมภีร์ที่ถูกเขียนภายหลังโดยอ้างอิงจากบทปฐมกาลจะมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือที่ลดลงอย่างมาก และตำนาน, วรรณกรรม, ศิลปะของตะวันตกในยุคหลังๆ ล้วนได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ทั้งนั้น ซึ่งไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงบทปฐมกาลที่จะกล่าวถึง การสร้างโลก การสร้างมนุษย์ การล่อลวงและตกในบาปของมนุษย์ การถูกขับไล่จากเอเดน บรรพบุรุษของอิสราเอล โนอาห์และน้ำท่วมโลก การเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่อับราฮัมจนถึงโยเซฟผู้ถูกขับไล่ไปอียิปต์ตามแผนการของพระเจ้า
การสร้างโลกและมนุษย์
การสร้างโลกในพระคัมภีร์กล่าวถึงอยู่ 2 ครั้งในบทปฐมกาลในพระคัมภีร์เก่าและในพระคัมภีร์ใหม่
การสร้างโลกในบทปฐมกาลของพระคัมภีร์เก่ายกมาจากพระคัมภีร์ของศาสนายิวที่เรียกว่า โทราห์ (Torah) เนื้อหาจะเริ่มถึงการจัดระเบียบธรรมชาติของพระเจ้า การสร้างความมืด ความสว่าง ฟ้า ทะเล ดิน โลก ต้นไม้ สัตว์ และมนุษย์ โดยมนุษย์จะถูกสร้างจากธุลีดินตามพระฉายของพระเจ้าแล้วประทานวิญญาณให้ จากนั้นมอบหน้าที่ให้มนุษย์ดูแลทุกอย่างบนโลก
อาดัม (Adam) มนุษย์ที่เป็นต้นแบบแรกเริ่มไม่เป็นทั้งชายและหญิง ศีลธรรมสูงส่ง สง่างาม ยิ่งใหญ่ ไม่เสื่อมโทรม ไม่มีโรคภัย มีชีวิตเป็นอมตะ สามารถพูดคุยกับพระเจ้าได้ แบบที่เรียกว่า Heavenly Man ซึ่งมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ
- เป็นอมตะบริสุทธิ์ อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าในดินแดนที่เรียกว่าเอเดน (Eden) หรือสวรรค์บนพื้นพิภพ
- อาจจะทำบาปได้
- มีความคิดทั้งด้านดีและชั่ว และมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะดีหรือชั่ว
จากนั้นพระเจ้าก็สร้างเอวา (Eve) จากกระดูกซี่โครงของอาดัมในขณะที่เขาหลับให้เป็นมนุษย์ที่แตกต่างออกไปให้เป็นคู่กับอาดัม
Adam และ Eve (อาดัมและเอวา)
เมื่อเกิดมนุษย์คู่แรก พระเจ้าให้ทั้งคู่อยู่ในเอเดน โดยกลางเอเดนจะมีต้นไม้อยู่ 2 ต้นคือ ต้นไม้แห่งชีวิต (Tree of life) และ ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว (Tree of the knowledge of good and evil) ซึ่งต้นไม้แห่งความรู้เป็นสิ่งทดลองที่พระเจ้าสร้างไว้ทดสอบมนุษย์ เมื่อมนุษย์กินมนุษย์จะตายในความหมายของการหมดสิทธิ์แห่งความเป็นอมตะและการอยู่บนสวรรค์ ต้นไม้เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นก่อนเอวาจะกำเนิดขึ้น เอวาจึงไม่รู้ความหมายของมันและถูกล่อลวงโดยงูซึ่งแทนสิ่งชั่วร้ายและบาป (The Serpent)
งูในที่นี้ไม่ใช่ซาตานหรือลูซิเฟอร์ (Satan or Lucifer) แต่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความฉลาด ความอยากเป็นใหญ่ที่ทัดเทียมพระเจ้า
เมื่อมนุษย์คู่แรกกินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ ก็เกิดความรู้ดีรู้ชั่ว ความละอายต่อการขัดคำสั่ง การอับอายสภาพเปลือยเปล่าต้องหาใบมะเดื่อมาปกปิดร่างกาย และหลบซ่อนให้พ้นจากพระเจ้าซึ่งไม่สามารถหลบพ้น อาดัมถูกลงโทษให้ทำงานหนักต้องต่อสู้กับธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนเป็นความแห้งแล้งอดอยาก เอวาถูกลงโทษต้องเจ็บปวดจากการคลอดลูก งูที่ล่อลวงถูกลงโทษด้วยการถูกมนุษย์เหยียบย่ำแต่ก็สามารถแว้งกัดมนุษย์ได้ตลอดเวลาและเป็นศัตรูกับมนุษย์ตลอดกาล
เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่ถูกตีความได้มากมาย เช่น การที่อาดัมและเอวาละอายสภาพเปลือยเปล่า สามารถอธิบายถึงพฤติกรรมของเด็กที่สามารถเล่นด้วยกันโดยไม่แบ่งชายหญิง แต่พอโตขึ้นก็เกิดความรู้จักความแตกต่างระหว่างเพศเกิดความรู้สึกทางเพศ
การกระทำผิดของอาดัมและเอวาคือการไม่เชื่อและละเมิดคำสั่งของพระเจ้าส่งผลให้มนุษย์ที่ตามมารับผลของการกระทำนี้ด้วย โดยมนุษย์จะเกิดมาพร้อมกับบาปกำเนิด (Original Sin) และบาปนี้จบสิ้นได้เมื่อแม่พระมารีย์ (Virgin Maria) ซึ่งเชื่อว่าเป็นเอวาที่ 2 ได้ให้กำเนิดพระเยซู (Jesus Christ) ซึ่งถึงว่าเป็นอาดัมที่ 2 ,บุตรแห่งมนุษย์ และพระผู้ไถ่ ผู้จะเป็นผู้ไถ่กู้มนุษยชาติเป็นผู้ให้โอกาสครั้งที่ 2 กับมนุษย์
Cain และ Abel (กาอินและอาแบล)
เมื่ออาดัมและเอวาได้ออกจากเอเดนก็ให้กำเนิดบุตรชายคือกาอินและอาแบล บ้างว่านี่คือตัวแทนของการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม กาอินได้เพาะปลูก อาแบลเลี้ยงสัตว์ เมื่อทั้งคู่ถวายของบูชากาอินถวายพืชพันธุ์ที่ไม่ดีแต่อาแบลถวายสัตว์ที่ดีที่สุด พระเจ้าจึงโปรดอาแบลทำให้กาอินริษยาและฆ่าน้องชายกลายเป็นฆาตกรรมรายแรกของโลก และประโยคที่มีชื่อเสียง "อาแบลน้องชายท่านอยู่ที่ไหน" เมื่อกาอินปฏิเสธไม่รับรู้ นั่นคือการโกหกต่อพระเจ้า กาอินถูกทำเครื่องหมายอันหมายถึงการปกป้องเพื่อมิให้ผู้ใดกระทำการ "ฆ่าล้างแค้น" กลับ แต่ก็ต้องรับผลคือที่ดินเปื้อนเลือดไม่สามารถเพาะปลูกได้อีก ต้องเร่ร่อนเดินทาง
รายละเอียดของตำนานนี้วิเคราะห์ได้หลายประเด็นเช่น กาอิน อาแบลไม่ใช่แค่บุคคลแต่เป็นกลุ่มคน พระเจ้ามักจะโปรดน้องชายมากกว่าพี่ชายดังจะได้เห็นในเรื่องอื่นๆ ซึ่งแสดงถึงความแตกต่างที่มนุษย์มักจะยกย่องลูกคนหัวปีและละเลยลูกคนอื่นๆ แต่พระเจ้าไม่สนใจเหตุผลนั้น การถวายของบูชาแปลว่ามีการจัดระเบียบพิธีการแล้ว
Deluge and Noah's Ark (น้ำท่วมโลกและเรือของโนอาห์)
เมื่อมนุษย์ซึ่งสืบเชื้อสายจากอาดัมและเอวาได้ทำความชั่วร้ายมากขึ้นจึงถึงเวลาที่โลกจะถูกชำระล้าง ยกเว้นครอบครัวโนอาห์ซึ่งยังเป็นคนดี พวกเขาได้รับคำแนะนำให้สร้างเรือ (Arca) และนำสัตว์อย่างละคู่และข้าวของพืชพันธุ์ขึ้นเรือ จากนั้นฝนก็ตกลงอย่างหนัก 40 วัน 40 คืน เกิดน้ำท่วมใหญ่ทำลายทุกอย่างบนโลกหมด เมื่อน้ำลดพระเจ้าให้พรมนุษย์และสัญญาว่าจะไม่มีน้ำท่วมใหญ่อีกโดยมี "รุ้ง" เป็นสัญลักษณ์แทนคำสัญญาดังกล่าว
Tower of Babel (หอคอยบาเบล)
หลังจากเหตุการณ์น้ำวินาศ มนุษย์ที่สืบต่อจากโนอาห์ก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นและเกิดความหลงผิดอีกด้วยทะเยอทะยานอยากสูงส่งทัดเทียมพระเจ้าจึงได้สร้างหอคอยสู่เทียมฟ้าขึ้นและตั้งชื่อว่า บาเบล (Babel) ซึ่งแปลว่าประตูของเทพเจ้าและกลายเป็นรากศัพท์ bll ที่หมายถึงความวุ่นวาย พระเจ้าได้ทำลายหอคอยนี้ลงและลงโทษมนุษย์ให้พูดคนละภาษาซึ่งเป็นเหตุให้มนุษย์สื่อสารกันไม่รู้เรื่องและมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน หอคอยบาเบลเป็นสัญลักษณ์ของความสับสนวุ่นวาย ความทะเยอทะยานและความล้มเหลวของมนุษย์ เชื่อว่าซากหอคอยคือฐานของเมืองบาบิโลน (Babylon)
การล่มสลายของหอคอยบาเบลเป็นการทำนายถึงในภายหน้าจะมีผู้ทะเยอทะยานได้การเคารพบูชาเสมือนเป็นพระเจ้าแต่สุดท้ายก็จะถูกทำลายลง ซึ่งจะมีการกล่าวถึงอีกครั้งในวิวรณ์ (Revelation) ที่เป็นบทหนึ่งของพระคัมภีร์ใหม่
มีการวิเคราะห์ว่านครบาบิโลนในพระคัมภีร์ใหม่คือกรุงโรมนั่นเอง ส่วนอาณาจักรมนุษย์คือนครเยรูซาเล็ม
Fallen Angels (ทูตสวรรค์ที่ถูกขับจากสวรรค์)
ตำนานกล่าวถึงทูตสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่ลงมาชุมนุมที่ยอดเขา Hermon แรกเริ่มทูตสวรรค์เหล่านั้นมีหน้าที่ตักเตือนให้มนุษย์เลิกทำความชั่วแต่สุดท้ายทูตสวรรค์เหล่านั้นกลับติดนิสัยกระทำชั่วของมนุษย์ ทูตสวรรค์กลุ่มนี้ได้แต่งงานกับบุตรสาวของมนุษย์ที่สืบเชื้อชายจากกาอิน บ้างว่าทูตสวรรค์ดังกล่าวคือบุตรชายของมนุษย์ที่สืบเชื้อชายจากเสท (บุตรคนถัดมาของอาดัมและเอวา)
ทูตสวรรค์ให้ความรู้ต่างๆ ที่เชื่อว่าเป็นต้นความรู้ของเหล่าแม่มดกับบุตรสาวของมนุษย์ บุตรสาวของมนุษย์เหล่านั้นได้ให้กำเนิดมนุษย์ยักษ์ที่เรียกว่า nephilim ตามตำนานท้องถิ่น หนึ่งในมนุษย์ยักษ์ตนหนึ่งมีชื่อว่า แอสโมเดียส (Asmodeus, Ashmedai) ซึ่งตามตำนานท้องถิ่นเป็นภูตร้ายคอยหักคอทารกเกิดใหม่แต่ต่อมากลายเป็นชื่อของ 1 ใน 7 ของปีศาจแห่งบาปต้น คือบาปราคะ (Lust)
ทูตสวรรค์ที่อ้างอิงนี้ บ้างว่าเป็นทูตสวรรค์ที่ขัดคำสั่งพระเจ้าสมรสกับมนุษย์จนสูญเสียความเป็นทูตสวรรค์และพินาศจากน้ำท่วมโลก บ้างว่าเป็นทูตสวรรค์ที่ริษยามนุษย์ที่พระเจ้าสร้างสร้างขึ้นและก่อการกบฏ บ้างว่าเป็นทูตสวรรค์ที่ถูกขับไล่จากสวรรค์จากนั้นพระเจ้าจึงสร้างมนุษย์ขึ้น บ้างว่าเป็นซาตานที่นำกบฏพระเจ้าและเป็นตนเดียวกับ "งู" (Serpent) ที่ล่อลวงเอวาและเป็นตนเดียวกับลูซิเฟอร์ (Lucifer) ที่เป็นทูตสวรรค์ชั้นเซราฟีมแต่ตกในบาปยโส (pride) เหล่านี้คือการผิดเพี้ยนจากการบอกเล่าต่อจนไม่สามารถระบุได้ว่าตำนานดั้งเดิมจริงๆ คืออะไร
ความเชื่อถัดๆ มาในวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์จะเชื่อว่าทูตสวรรค์มีทั้งดีและร้าย แบ่งเป็นทูตสวรรค์ที่เชื่อฟังเคารพพระเจ้า กับทูตสวรรค์ที่ทำตามอำเภอใจตนเอง ทูตสวรรค์ที่เป็นกลุ่มหลังมักมีอำนาจและสามารถดลบันดาลสิ่งต่างๆ ได้เหมือนเทพเจ้าหรือพระเจ้า แต่ทูตสวรรค์กลุ่มหลังจะไม่มีความปรารถนาดีกับมนุษย์เป็นตัวการให้เกิดเรื่องร้ายต่างๆ บ้างว่าเทพเจ้าต่างๆ ก็จัดเป็นทูตสวรรค์กลุ่มนี้
ซึ่งถ้าเป็นทูตสวรรค์ที่ชั่วร้ายมากก็จะไม่แตกต่างจากปีศาจและมักจะถูกรวมเข้าไปกับปีศาจและเป็นตัวการให้เด็กผิดปกติ
เด็กที่ดื้อรั้นรุนแรงร้ายกาจเชื่อว่าเป็นเด็กที่ถูกปีศาจเข้าสิงต้องทำการขับไล่ (Exorcism) แต่ถ้าเด็กที่ชั่วร้ายเกินที่สังคมจะรับได้จะถูกเรียกว่า ผีห่าซาตานมาเกิด (Devil Incarnate) แต่ถ้าผู้หญิงสมสู่กับปีศาจจะได้บุตรที่เกิดเป็นอมนุษย์ สัตว์ประหลาดต่างๆ เช่น nephilim ที่กล่าวมาข้างต้น
Antichrist (บุตรแห่งซาตาน)
มีการคาดหมายว่าจะมีเด็กที่เกิดจากซาตานกำเนิดขึ้นก่อนที่จะมีคริสต์ศาสนา ชนชาติยิวมีคำทำนายถึงกษัตริย์ผู้ไถ่กู้ชนชาติอิสราเอล (Messiah) และกลัวจะมีตัวปลอมมาแอบอ้างตัวเป็นกษัตริย์ผู้ไถ่กู้ จนตีตราพระเยซูแห่งนาซาเร็ธว่าคือบุตรแห่งซาตานด้วย
เนื้อหาเกี่ยวกับกษัตริย์ผู้ไถ่ปลอมในศาสนาคริสต์ปรากฏในคำเทศน์ของนักบุญเอเฟรีม (Ephrem ค.ศ.373) ได้กล่าวถึงว่าบุตรแห่งซาตานไม่ใช่ส่วนหนึ่งหรือภาคหนึ่งของซาตานแต่เป็นบุตรที่เกิดจากหญิงชั่ว บุตรแห่งซาตานจะสวยงาม นอบน้อมถ่อมตน ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในสังคม เป็นมิตรกับทุกคน มีอำนาจอิทธิปาฏิหาริย์ เมื่อล่อลวงจนทุกคนตายใจยกขึ้นเป็นกษัตริย์ก็จะแสดงความชั่วร้ายออกมาทันที ผู้นับถือเขาจะมีเครื่องหมายที่หน้าผากและมือขวา แต่อำนาจของเขาจะอยู่ได้ระยะเวลาสั้นจากนั้นพระคริสต์จะเสด็จมา
เรื่องบุตรแห่งซาตานถูกนำไปใช้เปรียบเทียบ ตีความต่างๆ นานาทั้งบทความและวรรณคดีอย่างแพร่หลายเช่น The Omen
New Jerusalem (นครเยรูซาเล็มใหม่)
นครเยรูซาเล็มเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือโซโลมอน เมืองนี้มีความสำคัญกับศาสนายูดาห์และคริสต์ ปัจจุบันมีพลเมืองทั้งเชื้อสายชาวอาหรับและชาวยิว
แต่นครเยรูซาเล็มใหม่ที่ถูกกล่าวถึงในบทวิวรณ์จากพระคัมภีร์ใหม่เป็นที่พำนักของผู้ที่ถูกเลือกโดยพระคริสต์ ถูกบรรยายด้วยความงดงาม ล้ำเลิศตามอุดมคติที่มนุษย์จะนึกถึง เป็นสวนสวรรค์โลกใหม่ที่ได้อยู่ใกล้พระเจ้า ซึ่งจะใกล้เคียงกับในบทอิสยาห์ (Isaiah) จากพระคัมภีร์เก่าที่กล่าวถึงแผ่นดินที่สุขสงบ
นครเยรูซาเล็มใหม่เป็นเมืองในอุดมคติเหมือนยูโทเปีย (Utopia) หรือโลกสมัยพระศรีอาริย์
--------------------
เรียบเรียงโดย littleseal พ.ศ. 2562
อ้างอิงจาก
- เทพนิยายที่เป็นพื้นฐานของวรรณคดี Mythological Background in Literature ผู้เขียน รศ.มาลิทัต พรหมทัตตเวที พ.ศ. 2531 สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพฯ
- พระคัมภีร์พระธรรมเดิมและใหม่จาก www.thaicatholicbible.com
ความเป็นมาของคริสต์ศาสนา
ศาสนาคริสต์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและต่อเนื่องจากศาสนายูดาห์ (Judaism คือศาสนาของชาวยิว) แต่ชาวยิวส่วนใหญ่ต่อต้านผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากไม่เชื่อว่า พระเยซู (Jesus Christ ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์) คือ พระเมสสิยาห์ (Messiah พระผู้ไถ่และกอบกู้ชนชาติยิวตามคำทำนายของศาสนายูดาห์) และชาวยิวไม่ยอมรับพวกต่างชาติ (Gentiles คือ ชาวต่างชาติและผู้ที่ไม่ได้มีเชื้อสายยิว) จะได้รับร่วมการไถ่กู้เข้าร่วมศาสนาของชาวยิวด้วย
ไม่มีใครทราบว่าศาสนาคริสต์เริ่มต้นในโรมตั้งแต่เมื่อใด เมื่อนักบุญเปาโล (Paolo ในภาษาอังกฤษจะเป็น Paul) เดินทางมาถึงกรุงโรม คริสต์ศาสนาก็เป็นที่รู้จักในเมืองแล้ว แต่หลังจากนั้นพวกคริสเตียนก็ถูกจักรพรรดิเนโร (Nero ผู้เผากรุงโรม) กล่าวหาและเป็นแพะรับบาปว่าเป็นผู้วางเพลิงเผากรุงโรม
การที่จักรวรรดิต่อต้านศาสนาคริสต์มีเหตุผลหลายประการคือ
1. แม้ว่าชาวโรมันทุกคนจะมีสิทธิ์ในการนับถือศาสนาแต่ศาสนาของรัฐนั้นเกี่ยวข้องกับการเมือง
ก่อนหน้าศาสนาคริสต์ ศาสนาโบราณอย่างการนับถือเทพเจ้าต่างๆ เช่น เทวีไอซิสของอียิปต์ (Isis) ก็เคยถูกขับไล่มาก่อน แต่เทพเจ้าเหล่านั้นไม่มีตัวตนไม่ช้าก็ถูกลืมหายไป ซึ่งแตกต่างจากพระเยซูของชาวคริสต์ที่ปรากฏเป็นบุคคลแสดงตัวตนต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก ยิ่งช่วงปลายศตวรรษที่ 1 ศาสนาคริสต์แพร่หลายไปทั่วอาณาจักรทุกชนชั้นไม่แค่เฉพาะคนจน ทำให้เกิดความยากลำบากในการควบคุมประชาชน ท่าทีของโรมกับศาสนาคริสต์ในช่วงนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามผู้ที่ขึ้นมามีอำนาจซึ่งมีทั้งนิ่งเฉยในการเผยแพร่ความเชื่อกับเห็นว่าความเชื่อนี้เป็นภัยต้องกวาดล้างชาวคริสต์ทิ้ง
ชาวคริสต์ที่ถูกฆ่าจะถูกเรียกว่า มรณะสักขี (Martyrs)
การฆ่าชาวคริสต์นั้นเพื่อปราบปรามให้เกิดความสงบในหมู่ประชาชน โดยยกอ้างเหตุผลว่า พระเยซูซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนานี้เป็นผู้กระทำผิดและถูกประหารในฐานะผู้ก่อกวนทางการเมือง ฉะนั้น ผู้ที่นับถือพระเยซูก็จะต้องเป็นผู้ต้องโทษด้วย ชาวคริสต์ในยุคแรกจึงไม่กล้าใช้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ แต่ใช้ภาพแทนพระเยซูในรูปของสุริยเทพ (Sun-God) ชุมพาบาล (ผู้เลี้ยงแกะ The Good Shepherd) หรือ พระบุตรกับพระมารดา
2. พวกโรมันไม่ชอบการที่ชาวคริสต์ไม่เคารพบูชาจักรพรรดิซีซาร์ในฐานะสมมติเทพ (God-King) การนับถือพระราชาประหนึ่งเทพเจ้านั้นมีมาแต่ครั้งโบราณในความเชื่อแถบนั้น เช่น ฟาโรห์ก็ถูกยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าในอียิปต์ แม้แต่อเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander) กษัตริย์กรีกที่เข้ายึดอียิปต์ก็ถูกยกกลายเป็นเทพเจ้าไปด้วย กรณีจูเลียสซีซาร์นั้นได้รับการสถาปนาให้เป็นเทพหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ชาวคริสต์จะไม่นับถือเทพเจ้าอื่นจะเชื่อและนับถือพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ความแตกต่างข้อนี้ทำให้เกิดการขัดแย้งกันระหว่างชาวคริสต์กับพวกนอกศาสนา (pagan พวกที่ไม่ใช่คริสเตียน)
3. วิธีบูชาพระเจ้าของชาวคริสต์ซึ่งทำกันในบ้านเป็นแห่งแรก ต่อมาจึงทำในโบสถ์ซึ่งดัดแปลงมาจากบ้าน ทำให้พวกโรมันไม่ชอบและสร้างข่าวลือว่าชาวคริสต์คบคิดวางแผนกบฏบ้าง กินคนบ้าง (ความเข้าใจผิดจากบทมิสซา “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา” “ท่านทุกคนจงรับไปดื่มเถิดนี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งหลั่งรินเพื่ออภัยโทษบาปแก่คนเป็นอันมาก" มัทธิว 26:26-29) ทำความผิดทางเพศบ้างเพราะชาวคริสต์จะเรียกกันเองว่า brother หรือ sister และชาวคริสต์ก็ไม่ยอมโอนอ่อนให้ไม่ทำตามความประพฤตินอกรีตนอกรอยของพวกโรมันจึงถูกเกลียดชัง
ศาสนาคริสต์แข็งแกร่งขึ้นทุกที ในที่สุดก็มีคัมภีร์เป็นของตนเองคือพระคัมภีร์ใหม่ (New Testament) ชาวคริสต์ก็เริ่มมีบทบาททางการเมือง มีสิทธิ์มีเสียง ช่วงศตวรรษที่ 13 ศาสนาของโรมันเปลี่ยนเป็นนับถือสุริยเทพ (The Sun) องค์เดียว และเป็นการนับถือแบบ monotheism แต่อำนาจของโรมกลับเสื่อมลงจึงเกิดการกล่าวโทษว่าเป็นเพราะชาวคริสต์และจะต้องกำจัดทิ้ง
แต่ในคริสต์ศักราชปีที่ 313 จักรพรรดิคอนสแตนตินของโรมกลับเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์และได้ตรา Edict of Milan ขึ้น ให้เสรีภาพแก่คริสต์ศาสนาซึ่งในที่สุดก็ได้กลายเป็นศาสนาประจำอาณาจักรโรมัน แต่ Paganism (พวกนอกศาสนา, พวกนอกรีต, ลัทธิของพวกที่ไม่ใช่คริสเตียน, ผู้ซึ่งไม่ยอมรับ พระยาเวห์ พระคริสต์ อัลลอฮ์) ก็ยังไม่ได้หายไปจากโรมัน ยังมีการฉลอง The Great Mother อยู่ จนถึงปี 392 จักรพรรดิธีโอโดซุสจึงตรากฎห้ามการนับถือลัทธินี้ซึ่งเท่ากับเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการนับถือศาสนา
Myths ในพระคัมภีร์
หัวใจของศาสนาคริสต์นั้นไม่ได้อยู่ที่พระคัมภีร์แต่อยู่ที่ความเชื่อในพระธรรมล้ำลึก "พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ พระคริสต์ได้กลับคืนชีพและพระคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง"
ซึ่งเกิดจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่เริ่มต้นในรัชสมัยของจักรพรรดิไทบีเรียส- ซีซาร์ โดยมีป็อนติอุส ปีลาตุส (พอนทิอัส ปีลาต Pontius Pilate) เป็นข้าหลวงแคว้นเล็กๆ คือแคว้นจูเดีย (Judaea) ได้ตัดสินให้พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธได้ถูกตรึงกางเขนนอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม ตามมาด้วยการฟื้นคืนชีพของพระเยซู และการเสด็จมาของพระจิต (Holy Spirit) ทั้งหมดได้กลายเป็นต้นกำเนิดการฉลองปัสกา (Pesach ในภาษาอังกฤษคือ Passover หรือ Easter) ของชาวคริสต์
พระคัมภีร์ (Bible) ที่ชาวคริสต์ใช้จะแบ่งเป็น 2 ภาค คือ พระคัมภีร์เก่า (Old Testament) และ พระคัมภีร์ใหม่ (New Testament) ในแต่ละภาคจะแบ่งเป็นบทย่อยๆ ตามเหตุการณ์ วัตถุประสงค์ ประกาศก และอัครสาวก พระคัมภีร์เก่าจะกล่าวถึงการสร้างโลก กำเนิดมนุษย์ ประวัติความเป็นมาของชนชาติอิสราเอล (ฮิบรู, ยิว) พระคัมภีร์ใหม่จะกล่าวถึงการเกิดพระเยซูซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คำสอนของพระเยซู และกิจการของเหล่าอัครสาวก
ความเชื่อของชาวคริสต์จะขัดแย้งกับการวิเคราะห์ทางวรรณกรรมว่าบทปฐมกาล (Genesis) เป็นแค่ตำนาน (Myths) มากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพราะหากไม่เชื่อบทปฐมกาลแล้วพระคัมภีร์ที่ถูกเขียนภายหลังโดยอ้างอิงจากบทปฐมกาลจะมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือที่ลดลงอย่างมาก และตำนาน, วรรณกรรม, ศิลปะของตะวันตกในยุคหลังๆ ล้วนได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ทั้งนั้น ซึ่งไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงบทปฐมกาลที่จะกล่าวถึง การสร้างโลก การสร้างมนุษย์ การล่อลวงและตกในบาปของมนุษย์ การถูกขับไล่จากเอเดน บรรพบุรุษของอิสราเอล โนอาห์และน้ำท่วมโลก การเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่อับราฮัมจนถึงโยเซฟผู้ถูกขับไล่ไปอียิปต์ตามแผนการของพระเจ้า
การสร้างโลกและมนุษย์
การสร้างโลกในพระคัมภีร์กล่าวถึงอยู่ 2 ครั้งในบทปฐมกาลในพระคัมภีร์เก่าและในพระคัมภีร์ใหม่
การสร้างโลกในบทปฐมกาลของพระคัมภีร์เก่ายกมาจากพระคัมภีร์ของศาสนายิวที่เรียกว่า โทราห์ (Torah) เนื้อหาจะเริ่มถึงการจัดระเบียบธรรมชาติของพระเจ้า การสร้างความมืด ความสว่าง ฟ้า ทะเล ดิน โลก ต้นไม้ สัตว์ และมนุษย์ โดยมนุษย์จะถูกสร้างจากธุลีดินตามพระฉายของพระเจ้าแล้วประทานวิญญาณให้ จากนั้นมอบหน้าที่ให้มนุษย์ดูแลทุกอย่างบนโลก
อาดัม (Adam) มนุษย์ที่เป็นต้นแบบแรกเริ่มไม่เป็นทั้งชายและหญิง ศีลธรรมสูงส่ง สง่างาม ยิ่งใหญ่ ไม่เสื่อมโทรม ไม่มีโรคภัย มีชีวิตเป็นอมตะ สามารถพูดคุยกับพระเจ้าได้ แบบที่เรียกว่า Heavenly Man ซึ่งมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ
- เป็นอมตะบริสุทธิ์ อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าในดินแดนที่เรียกว่าเอเดน (Eden) หรือสวรรค์บนพื้นพิภพ
- อาจจะทำบาปได้
- มีความคิดทั้งด้านดีและชั่ว และมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะดีหรือชั่ว
จากนั้นพระเจ้าก็สร้างเอวา (Eve) จากกระดูกซี่โครงของอาดัมในขณะที่เขาหลับให้เป็นมนุษย์ที่แตกต่างออกไปให้เป็นคู่กับอาดัม
Adam และ Eve (อาดัมและเอวา)
เมื่อเกิดมนุษย์คู่แรก พระเจ้าให้ทั้งคู่อยู่ในเอเดน โดยกลางเอเดนจะมีต้นไม้อยู่ 2 ต้นคือ ต้นไม้แห่งชีวิต (Tree of life) และ ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว (Tree of the knowledge of good and evil) ซึ่งต้นไม้แห่งความรู้เป็นสิ่งทดลองที่พระเจ้าสร้างไว้ทดสอบมนุษย์ เมื่อมนุษย์กินมนุษย์จะตายในความหมายของการหมดสิทธิ์แห่งความเป็นอมตะและการอยู่บนสวรรค์ ต้นไม้เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นก่อนเอวาจะกำเนิดขึ้น เอวาจึงไม่รู้ความหมายของมันและถูกล่อลวงโดยงูซึ่งแทนสิ่งชั่วร้ายและบาป (The Serpent)
งูในที่นี้ไม่ใช่ซาตานหรือลูซิเฟอร์ (Satan or Lucifer) แต่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความฉลาด ความอยากเป็นใหญ่ที่ทัดเทียมพระเจ้า
เมื่อมนุษย์คู่แรกกินผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ ก็เกิดความรู้ดีรู้ชั่ว ความละอายต่อการขัดคำสั่ง การอับอายสภาพเปลือยเปล่าต้องหาใบมะเดื่อมาปกปิดร่างกาย และหลบซ่อนให้พ้นจากพระเจ้าซึ่งไม่สามารถหลบพ้น อาดัมถูกลงโทษให้ทำงานหนักต้องต่อสู้กับธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนเป็นความแห้งแล้งอดอยาก เอวาถูกลงโทษต้องเจ็บปวดจากการคลอดลูก งูที่ล่อลวงถูกลงโทษด้วยการถูกมนุษย์เหยียบย่ำแต่ก็สามารถแว้งกัดมนุษย์ได้ตลอดเวลาและเป็นศัตรูกับมนุษย์ตลอดกาล
เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่ถูกตีความได้มากมาย เช่น การที่อาดัมและเอวาละอายสภาพเปลือยเปล่า สามารถอธิบายถึงพฤติกรรมของเด็กที่สามารถเล่นด้วยกันโดยไม่แบ่งชายหญิง แต่พอโตขึ้นก็เกิดความรู้จักความแตกต่างระหว่างเพศเกิดความรู้สึกทางเพศ
การกระทำผิดของอาดัมและเอวาคือการไม่เชื่อและละเมิดคำสั่งของพระเจ้าส่งผลให้มนุษย์ที่ตามมารับผลของการกระทำนี้ด้วย โดยมนุษย์จะเกิดมาพร้อมกับบาปกำเนิด (Original Sin) และบาปนี้จบสิ้นได้เมื่อแม่พระมารีย์ (Virgin Maria) ซึ่งเชื่อว่าเป็นเอวาที่ 2 ได้ให้กำเนิดพระเยซู (Jesus Christ) ซึ่งถึงว่าเป็นอาดัมที่ 2 ,บุตรแห่งมนุษย์ และพระผู้ไถ่ ผู้จะเป็นผู้ไถ่กู้มนุษยชาติเป็นผู้ให้โอกาสครั้งที่ 2 กับมนุษย์
Cain และ Abel (กาอินและอาแบล)
เมื่ออาดัมและเอวาได้ออกจากเอเดนก็ให้กำเนิดบุตรชายคือกาอินและอาแบล บ้างว่านี่คือตัวแทนของการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม กาอินได้เพาะปลูก อาแบลเลี้ยงสัตว์ เมื่อทั้งคู่ถวายของบูชากาอินถวายพืชพันธุ์ที่ไม่ดีแต่อาแบลถวายสัตว์ที่ดีที่สุด พระเจ้าจึงโปรดอาแบลทำให้กาอินริษยาและฆ่าน้องชายกลายเป็นฆาตกรรมรายแรกของโลก และประโยคที่มีชื่อเสียง "อาแบลน้องชายท่านอยู่ที่ไหน" เมื่อกาอินปฏิเสธไม่รับรู้ นั่นคือการโกหกต่อพระเจ้า กาอินถูกทำเครื่องหมายอันหมายถึงการปกป้องเพื่อมิให้ผู้ใดกระทำการ "ฆ่าล้างแค้น" กลับ แต่ก็ต้องรับผลคือที่ดินเปื้อนเลือดไม่สามารถเพาะปลูกได้อีก ต้องเร่ร่อนเดินทาง
รายละเอียดของตำนานนี้วิเคราะห์ได้หลายประเด็นเช่น กาอิน อาแบลไม่ใช่แค่บุคคลแต่เป็นกลุ่มคน พระเจ้ามักจะโปรดน้องชายมากกว่าพี่ชายดังจะได้เห็นในเรื่องอื่นๆ ซึ่งแสดงถึงความแตกต่างที่มนุษย์มักจะยกย่องลูกคนหัวปีและละเลยลูกคนอื่นๆ แต่พระเจ้าไม่สนใจเหตุผลนั้น การถวายของบูชาแปลว่ามีการจัดระเบียบพิธีการแล้ว
Deluge and Noah's Ark (น้ำท่วมโลกและเรือของโนอาห์)
เมื่อมนุษย์ซึ่งสืบเชื้อสายจากอาดัมและเอวาได้ทำความชั่วร้ายมากขึ้นจึงถึงเวลาที่โลกจะถูกชำระล้าง ยกเว้นครอบครัวโนอาห์ซึ่งยังเป็นคนดี พวกเขาได้รับคำแนะนำให้สร้างเรือ (Arca) และนำสัตว์อย่างละคู่และข้าวของพืชพันธุ์ขึ้นเรือ จากนั้นฝนก็ตกลงอย่างหนัก 40 วัน 40 คืน เกิดน้ำท่วมใหญ่ทำลายทุกอย่างบนโลกหมด เมื่อน้ำลดพระเจ้าให้พรมนุษย์และสัญญาว่าจะไม่มีน้ำท่วมใหญ่อีกโดยมี "รุ้ง" เป็นสัญลักษณ์แทนคำสัญญาดังกล่าว
Tower of Babel (หอคอยบาเบล)
หลังจากเหตุการณ์น้ำวินาศ มนุษย์ที่สืบต่อจากโนอาห์ก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นและเกิดความหลงผิดอีกด้วยทะเยอทะยานอยากสูงส่งทัดเทียมพระเจ้าจึงได้สร้างหอคอยสู่เทียมฟ้าขึ้นและตั้งชื่อว่า บาเบล (Babel) ซึ่งแปลว่าประตูของเทพเจ้าและกลายเป็นรากศัพท์ bll ที่หมายถึงความวุ่นวาย พระเจ้าได้ทำลายหอคอยนี้ลงและลงโทษมนุษย์ให้พูดคนละภาษาซึ่งเป็นเหตุให้มนุษย์สื่อสารกันไม่รู้เรื่องและมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน หอคอยบาเบลเป็นสัญลักษณ์ของความสับสนวุ่นวาย ความทะเยอทะยานและความล้มเหลวของมนุษย์ เชื่อว่าซากหอคอยคือฐานของเมืองบาบิโลน (Babylon)
การล่มสลายของหอคอยบาเบลเป็นการทำนายถึงในภายหน้าจะมีผู้ทะเยอทะยานได้การเคารพบูชาเสมือนเป็นพระเจ้าแต่สุดท้ายก็จะถูกทำลายลง ซึ่งจะมีการกล่าวถึงอีกครั้งในวิวรณ์ (Revelation) ที่เป็นบทหนึ่งของพระคัมภีร์ใหม่
มีการวิเคราะห์ว่านครบาบิโลนในพระคัมภีร์ใหม่คือกรุงโรมนั่นเอง ส่วนอาณาจักรมนุษย์คือนครเยรูซาเล็ม
Fallen Angels (ทูตสวรรค์ที่ถูกขับจากสวรรค์)
ตำนานกล่าวถึงทูตสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่ลงมาชุมนุมที่ยอดเขา Hermon แรกเริ่มทูตสวรรค์เหล่านั้นมีหน้าที่ตักเตือนให้มนุษย์เลิกทำความชั่วแต่สุดท้ายทูตสวรรค์เหล่านั้นกลับติดนิสัยกระทำชั่วของมนุษย์ ทูตสวรรค์กลุ่มนี้ได้แต่งงานกับบุตรสาวของมนุษย์ที่สืบเชื้อชายจากกาอิน บ้างว่าทูตสวรรค์ดังกล่าวคือบุตรชายของมนุษย์ที่สืบเชื้อชายจากเสท (บุตรคนถัดมาของอาดัมและเอวา)
ทูตสวรรค์ให้ความรู้ต่างๆ ที่เชื่อว่าเป็นต้นความรู้ของเหล่าแม่มดกับบุตรสาวของมนุษย์ บุตรสาวของมนุษย์เหล่านั้นได้ให้กำเนิดมนุษย์ยักษ์ที่เรียกว่า nephilim ตามตำนานท้องถิ่น หนึ่งในมนุษย์ยักษ์ตนหนึ่งมีชื่อว่า แอสโมเดียส (Asmodeus, Ashmedai) ซึ่งตามตำนานท้องถิ่นเป็นภูตร้ายคอยหักคอทารกเกิดใหม่แต่ต่อมากลายเป็นชื่อของ 1 ใน 7 ของปีศาจแห่งบาปต้น คือบาปราคะ (Lust)
ทูตสวรรค์ที่อ้างอิงนี้ บ้างว่าเป็นทูตสวรรค์ที่ขัดคำสั่งพระเจ้าสมรสกับมนุษย์จนสูญเสียความเป็นทูตสวรรค์และพินาศจากน้ำท่วมโลก บ้างว่าเป็นทูตสวรรค์ที่ริษยามนุษย์ที่พระเจ้าสร้างสร้างขึ้นและก่อการกบฏ บ้างว่าเป็นทูตสวรรค์ที่ถูกขับไล่จากสวรรค์จากนั้นพระเจ้าจึงสร้างมนุษย์ขึ้น บ้างว่าเป็นซาตานที่นำกบฏพระเจ้าและเป็นตนเดียวกับ "งู" (Serpent) ที่ล่อลวงเอวาและเป็นตนเดียวกับลูซิเฟอร์ (Lucifer) ที่เป็นทูตสวรรค์ชั้นเซราฟีมแต่ตกในบาปยโส (pride) เหล่านี้คือการผิดเพี้ยนจากการบอกเล่าต่อจนไม่สามารถระบุได้ว่าตำนานดั้งเดิมจริงๆ คืออะไร
ความเชื่อถัดๆ มาในวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์จะเชื่อว่าทูตสวรรค์มีทั้งดีและร้าย แบ่งเป็นทูตสวรรค์ที่เชื่อฟังเคารพพระเจ้า กับทูตสวรรค์ที่ทำตามอำเภอใจตนเอง ทูตสวรรค์ที่เป็นกลุ่มหลังมักมีอำนาจและสามารถดลบันดาลสิ่งต่างๆ ได้เหมือนเทพเจ้าหรือพระเจ้า แต่ทูตสวรรค์กลุ่มหลังจะไม่มีความปรารถนาดีกับมนุษย์เป็นตัวการให้เกิดเรื่องร้ายต่างๆ บ้างว่าเทพเจ้าต่างๆ ก็จัดเป็นทูตสวรรค์กลุ่มนี้
ซึ่งถ้าเป็นทูตสวรรค์ที่ชั่วร้ายมากก็จะไม่แตกต่างจากปีศาจและมักจะถูกรวมเข้าไปกับปีศาจและเป็นตัวการให้เด็กผิดปกติ
เด็กที่ดื้อรั้นรุนแรงร้ายกาจเชื่อว่าเป็นเด็กที่ถูกปีศาจเข้าสิงต้องทำการขับไล่ (Exorcism) แต่ถ้าเด็กที่ชั่วร้ายเกินที่สังคมจะรับได้จะถูกเรียกว่า ผีห่าซาตานมาเกิด (Devil Incarnate) แต่ถ้าผู้หญิงสมสู่กับปีศาจจะได้บุตรที่เกิดเป็นอมนุษย์ สัตว์ประหลาดต่างๆ เช่น nephilim ที่กล่าวมาข้างต้น
Antichrist (บุตรแห่งซาตาน)
มีการคาดหมายว่าจะมีเด็กที่เกิดจากซาตานกำเนิดขึ้นก่อนที่จะมีคริสต์ศาสนา ชนชาติยิวมีคำทำนายถึงกษัตริย์ผู้ไถ่กู้ชนชาติอิสราเอล (Messiah) และกลัวจะมีตัวปลอมมาแอบอ้างตัวเป็นกษัตริย์ผู้ไถ่กู้ จนตีตราพระเยซูแห่งนาซาเร็ธว่าคือบุตรแห่งซาตานด้วย
เนื้อหาเกี่ยวกับกษัตริย์ผู้ไถ่ปลอมในศาสนาคริสต์ปรากฏในคำเทศน์ของนักบุญเอเฟรีม (Ephrem ค.ศ.373) ได้กล่าวถึงว่าบุตรแห่งซาตานไม่ใช่ส่วนหนึ่งหรือภาคหนึ่งของซาตานแต่เป็นบุตรที่เกิดจากหญิงชั่ว บุตรแห่งซาตานจะสวยงาม นอบน้อมถ่อมตน ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในสังคม เป็นมิตรกับทุกคน มีอำนาจอิทธิปาฏิหาริย์ เมื่อล่อลวงจนทุกคนตายใจยกขึ้นเป็นกษัตริย์ก็จะแสดงความชั่วร้ายออกมาทันที ผู้นับถือเขาจะมีเครื่องหมายที่หน้าผากและมือขวา แต่อำนาจของเขาจะอยู่ได้ระยะเวลาสั้นจากนั้นพระคริสต์จะเสด็จมา
เรื่องบุตรแห่งซาตานถูกนำไปใช้เปรียบเทียบ ตีความต่างๆ นานาทั้งบทความและวรรณคดีอย่างแพร่หลายเช่น The Omen
New Jerusalem (นครเยรูซาเล็มใหม่)
นครเยรูซาเล็มเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือโซโลมอน เมืองนี้มีความสำคัญกับศาสนายูดาห์และคริสต์ ปัจจุบันมีพลเมืองทั้งเชื้อสายชาวอาหรับและชาวยิว
แต่นครเยรูซาเล็มใหม่ที่ถูกกล่าวถึงในบทวิวรณ์จากพระคัมภีร์ใหม่เป็นที่พำนักของผู้ที่ถูกเลือกโดยพระคริสต์ ถูกบรรยายด้วยความงดงาม ล้ำเลิศตามอุดมคติที่มนุษย์จะนึกถึง เป็นสวนสวรรค์โลกใหม่ที่ได้อยู่ใกล้พระเจ้า ซึ่งจะใกล้เคียงกับในบทอิสยาห์ (Isaiah) จากพระคัมภีร์เก่าที่กล่าวถึงแผ่นดินที่สุขสงบ
นครเยรูซาเล็มใหม่เป็นเมืองในอุดมคติเหมือนยูโทเปีย (Utopia) หรือโลกสมัยพระศรีอาริย์
--------------------
เรียบเรียงโดย littleseal พ.ศ. 2562
อ้างอิงจาก
- เทพนิยายที่เป็นพื้นฐานของวรรณคดี Mythological Background in Literature ผู้เขียน รศ.มาลิทัต พรหมทัตตเวที พ.ศ. 2531 สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพฯ
- พระคัมภีร์พระธรรมเดิมและใหม่จาก www.thaicatholicbible.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น